เมนู

ซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์
ดูก่อนปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิต
ใหญ่ ๆ สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยนี้มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้
ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่าน
ผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสาทาคามิผล พระอนาคามี ท่าน
ผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอานาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติ
เพื่อความเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา
ประการที่ 8 ในธรรนวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว ๆ จึงอภิรมย์
อยู่ ดูก่อนปหาราทะ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่
เคยมีมา 8 ประการนี้แล ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว ๆ จึงอภิรมย์อยู่.
จบ ปหาราทสูตรที่ 9

อรรถกถาปหาราทะสูตรที่ 9


ปทาราทสูตรที่ 9

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ปหาราโท ได้แก่ มีชื่ออย่างนี้. บทว่า อสุรินฺโท
แปลว่า หัวหน้าอสูร. จริงอยู่ บรรดาอสูรทั้งหลาย อสุรผู้เป็น
หัวหน้ามี ท่านคือ เวปจิตติ 1 ราหู 1 ปหาราทะ 1 บทว่า
เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า นับตั้งแต่วันที่พระทศพลตรัสรู้แล้ว
ท้าวปหาราทะจอมอสูรคิดว่า วันนี้เราจักไปเฝ้า พรุ่งนี้เราจัก
ไปเฝ้า จนล่วงไป 11 ครั้นถึงปีที่ 12 ในเวลาที่พระศาสดา

ประทับอยู่ที่เมืองเวรัญชา เกิดความคิดขึ้นว่า เราจักไปเฝ้า
พระสัมมาสัมพุททธเจ้า จึงติดต่อไปว่า เรามัวแต่ผลัดว่าจะไปวันนี้
จะไปพรุ่งนี้ ล่วงไปถึง 12 ปี เอาเถอะเราจะไปเดี๋ยวนี้แหละ
ในขณะนั้นนั่นเองอันหมู่อสูรแวดล้อมแล้ว ออกจากภพอสูร ตอน
กลางวัน จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ. บทว่า
เมกมนฺตํ อฏฺฐาสิ ความว่า ได้ยินว่า ท้าวปหาราทะ จอมอสูร
นั้นมาด้วยคิดว่า จักถามปัญหากะพระตถาคต แล้วจักฟังธรรมกถา
ตั้งแต่เวลาที่ได้เฝ้าพระตถาคตแล้ว แม้เมื่อไม่อาจถาม เพราะ
ความเคารพในพระพุทธเจ้า ก็ได้ถวายบังคมพระศาสดาแล้วยืนอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงพระดำริว่า เมื่อเราไม่พูด ปหาราทะ
นี้ก็ไม่อาจพูดก่อนได้ จำเราจักถามปัญหากะเธอสักข้อหนึ่ง เพื่อ
ให้การสนทนาเกิดขึ้นในฐานะที่เธอมีวสีชำนาญอันสั่งสมไว้แล้ว
นั่นแหละ. เมื่อพระองค์จะตรัสถามปัญหาเขา จึงตรัสคำมีอาทิว่า
อปิ ปน ปหาราท ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิรมนฺติ
ความว่า ย่อมประสบความยินดี อธิบายว่า ไม่เอือมระอาอยู่. ท่าน
มีจิตยินดีว่าในฐานะที่เราคุ้นเคยทีเดียว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
ถามเรา จึงกราบทูลว่า อภิรมนฺติ ภนฺเต พวกอสูรยังอภิรมย์อยู่
พระเจ้าข้า.
บทว่า อนุปุพฺพนินฺโน เป็นต้นทั้งหมด เป็นไวพจน์แห่งความ
ลุ่มไปตามลำดับ. ด้วยบทว่า น อายตเกเนว ปปาโต พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงแสดงว่า มหาสมุทรไม่เป็นเหวชันมาแต่เบื้องต้นเหมือน

บึงใหญ่ที่มีตลิ่งชัน. ก็เริ่มตั้งแต่พื้นที่ที่เป็นตลิ่งไป มหาสมุทรนั้น
จะลึกลงไป ด้วยสามารถแห่งการลึกลงที่ละ 1 นิ้ว 2 นิ้ว 1 คืบ
1 ศอก 1 อสุภะ กึ่งคาวุต 1 คาวุต กึ่งโยชน์ และ 1 โยชน์
ลึกไป ๆ จนลึกถึง 84,000 โยชน์ ณ ที่ใกล้เชิงเขาพระสุเมรุ.
บทว่า ฐิตธมฺโม ความว่า ตั้งอยู่แล้วเป็นสภาวะ คือตั้งแต่
เฉพาะเป็นสภาวะ. บทว่า กุณเปน ความว่า ด้วยซากศพอย่างใด
อย่างหนึ่ง มีซากช้างและซากม้าเป็นต้น. บทว่า ถลํ อุสฺสาเทติ
ความว่า ย่อมซัดขึ้นบกด้วยคลื่นซัดนั่นแหละ เหมือนคนเอามือ
จับซัดไปฉะนั้น.
ในบทว่า คงฺคา ยมุนา ควรกล่าวถึงเหตุเกิดแห่งแม่น้ำเหล่านี้
เพราะตั้งอยู่ในที่นี้. ก่อนอื่นชมพูทวีปนี้ ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ
10,000 โยชน์ ในจำนวนเนื้อที่นั้น 4,000 โยชน์ เป็นภูมิประเทศ
ที่ถูกน้ำท่วม นับได้ว่าเป็นมหาสมุทร 3,000 โยชน์ พวกมนุษย์
อาศัยอยู่ 3,000 โยชน์ ภูเขาหิมวันต์ตั้งอยู่ สูง 500 โยชน์
ประดับด้วยยอด 84,000 ยอด วิจิตรด้วยแม่น้ำใหญ่ 5 สาย ไหล
มาโดยรอบ เป็นที่สระใหญ่ 7 สระตั้งอยู่ คือ สระอโนดาด
สระกัณฑมุณฑะ สระรถกาฬะ สระฉัททันตะ สระกุนาละ
สระมันทากินิ สระสีหัปปปาตะ ซึ่งยาว กว้าง และลึก อย่างละ
50 โยชน์ มีปริมณฑล 150 โยชน์ บรรดาสระเหล่านั้น สระ-
อโนดาด ล้อมด้วยภูเขา 5 ลูก เหล่านี้คือ สุทัสสนกูฏ จิตตกูฏ
เทฬกูฏ คันทมาทนกูฏ เกลาสกูฏ. ในภูเขาทั้ง 5 ลูกนั้น ภูเขา-
สุทัสสนกูฏ สำเร็จไปด้วยทอง สูง 200 โยชน์ ภายในคดเคี้ยว

มีสัณฐานดังปากของกา ตั้งปิดสระอโนดาดนั่นแหละ ภูเขาจิตตกู
สำเร็จด้วยรัตนะทั้งปวง ภูเขากาฬกูฏ สำเร็จด้วยแร่พลวง ภูเขา-
คันทมาทนกูฏ สำเร็จด้วยที่ราบเรียบ ภายในมีสีเหมือนเมล็ดถั่วเขียว
หนาแน่นไปด้วยคันธชาติ 10 ชนิด เหล่านี้ คือ ไม้มีกลิ่นที่ราก
ไม้มีกลิ่นที่แก่น. ไม้มีกลิ่นที่กะพี้ ได้แก่กลิ่นที่ใบ ไม้มีกลิ่นที่เปลือก
ไม้มีกลิ่นที่สะเก็ด ไม้มีกลิ่นที่รส ไม้มีกลิ่นที่ดอก ไม้มีกลิ่นที่ผล
ไม้มีกลิ่นที่ลำต้น ปกคลุมไปด้วยเครื่องสมุนไพรมีประการต่าง ๆ
มีแสงเรืองตั้งอยู่ ประหนึ่งถ่านคุไฟ ในวันอุโบสถข้างแรม. ภูเขา-
เกลาสกูฏ สำเร็จด้วยแร่เงิน. ภูเขาทั้งหมดมีสัณฐานสูงเท่ากับ
ภูเขาสุทัสสนะ ตั้งปิดสระอโนดาดนั้นไว้. ภูเขาทั้งหมดนั้นฝนตกราด
ด้วยอานุภาพของเทวดา และของนาค. และแม่น้ำทั้งหลายย่อมไหล
ไปที่ภูเขาเหล่านั้น น้ำทั้งหมดนั้น ก็ไหลเข้าไปสู่สระอโนดาด
แห่งเดียว. พระจันทร์ และพระอาทิตย์ เมื่อโคจรผ่านทางทิศทักษิณ
หรือทิศอุดร ก็โคจรผ่านไปตามระหว่างภูเขา ส่องแสงไปในที่นั้น
แต่เมื่อโคจรไปตรง ๆ ก็ไม่ส่องแสง เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ สระนั้น
จึงเกิดบัญญัติชื่อว่า สระอโนดาด แปลว่า พระอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง.
ที่สระอโนดาดนั้น มีท่าสำหรับอาบน้ำ มีแผ่นศิลาเรียบน่ารื่นรมย์ใจ
ไม่มีปลาหรือเต่า มีน้ำใสดังแก้วผลึก เป็นของอันธรรมชาติตกแต่ง
ไว้ดีแล้ว เป็นที่ ๆ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระขีณาสพ พระปัจเจก-
พุทธ และฤๅษีผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายสรงสนาน เทวดาและยักษ์เป็นต้น
ก็พากันเล่นน้ำ ทั้ง 4 ด้านในสระนั้น มีมุขอยู่ 4 มุข คือ สีหมุข
หัสดีมุข อัศวมุข พฤษภมุข อันเป็นทางที่แม่น้ำทั้ง 4 สายไหลไป.

ที่ฝั่งแม่น้ำด้านที่ไหลออกทางสีหมุข มีราชสีห์อยู่มาก. ที่ฝั่งแห่ง
แม่น้ำด้านที่ไหลออกทางหัสดีมุข เป็นต้น มีช้าง ม้า และโคอุสภะ
อยู่มาก. แม่น้ำไหลออกจากทิศตะวันออก ไหลเวียนขวาสระ-
อโนดาด 3 เลี้ยว แล้วเลี่ยงแม่น้ำอีก 3 สาย ไหลไปยังถิ่นที่
ไม่มีมนุษย์ ทางป่าหิมวันต์ด้านตะวันออก และทางป่าหิมวันต์
ด้านเหนือ แล้วไหลลงสู่มหาสมุทร. แต่แม่น้ำที่ไหลออกทางทิศ-
ตะวันตก และทิศเหนือ ก็เวียนขวาเช่นนั้นเหมือนกัน ไปยังถิ่น
ที่ไม่มีมนุษย์ ทางป่าหิมวันต์ด้านทิศตะวันตกและป่าหิมวันต์ด้านเหนือ
แล้วไหลลงสู่มหาสมุทร.
แต่แม่น้ำที่ไหลออกทางมุขด้านใต้ เวียนขวาสระอโนดาดนั้น
3 เลี้ยวแล้วก็ไหลตรงไปทางทิศเหนือ เป็นระยะทาง 60 โยชน์
ไปตามหลังแผ่นหินนั่นแหละ ปะทะภูเขาโลดขึ้นเป็นสายน้ำ โดย
รอบประมาณ 3 คาวุต ไหลไปทางอากาศ เป็นระยะ 60 โยชน์
แล้วตกลงที่แผ่นหินชื่อว่า ติยัคคฬะ แผ่นหินก็แตกไป เพราะความ
แรงแห่งสายน้ำ. ในที่นั้นเกิดเป็นสระใหญ่ ชื่อว่า ติยัคคฬะ
ขนาด 50 โยชน์ กระแสน้ำพังทำลายฝั่งสระ แล้วไหลเข้าแผ่นหิน
ไประยะ 60 โยชน์. ต่อแต่นั้นก็เซาะแผ่นดินทึบเป็นอุโมงค์ไป
60 โยชน์ แล้วปะทะติรัฐฉานบรรพต ชื่อว่า วิชฌะ แล้วกลายเป็น
5 สาย ประดุจนิ้วมือ 5 นิ้ว ที่ฝ่ามือฉะนั้น. ในที่ ๆ สายน้ำนั้น
เลี้ยวขวาสระอโนดาด 3 เลี้ยวแล้วไหลไป เรียกว่า อาวัตตคงคา.
ในที่ ๆ ไหลตรงไป 60 โยชน์ ทางหลังแผ่นหิน เรียกว่า กัณหคงคา.
ในที่ไหลไปทางอากาศ 60 โยชน์ เรียกว่า อากาสคงคา. ในที่

ที่หยุดอยู่ในโอกาส 60 โยชน์ บนแผ่นหิน ชื่อว่า ติยัคคฬะ เรียกว่า
ติยัคคฬโปกรณี. ในที่ที่เซาะฝั่งเข้าไปสู่แผ่นหิน 60 โยชน์ เรียกว่า
พหลคงคา. ในที่ที่ไหลไป 60 โยชน์ ทางอุโมงค์เรียกว่า อุมมังคคงคา.
ก็ในที่ที่สายน้ำกระทบติรัจฉานบรรพต ชื่อวิชฌะแล้วไหลไปเป็น
สายน้ำ 5 สาย ก็ถือว่าเป็นแม่น้ำทั้ง 5 คือ คงคา ยมุนา อจีรวดี
สรภู สหี. พึงทราบว่า แม่น้ำใหญ่ 5 สาย เหล่านี้ ย่อมไหลมาแต่
ป่าหิมวันต์ ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สวนฺติโย ได้แก่ แม่น้ำชนิดใดชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น
แม่น้ำใหญ่หรือแม่น้ำน้อย ซึ่งกำลังไหลไปอยู่. บทว่า อปฺเปนฺติ
แปลว่า ไหลไปรวม คือไหลลง. บทว่า ธารา ได้แก่ สายน้ำฝน.
บทว่า ปูรตฺตํ แปลว่า ภาวะที่น้ำเต็ม. ความจริง มหาสมุทรมี
ธรรมดานี้ :- ใคร ๆ ไม่อาจกล่าวว่า เวลานี้ฝนตกน้อย พวกเรา
จะพากันเอาแหและลอบเป็นต้น ไปจับปลาและเต่า หรือว่า เวลานี้
ฝนตกมาก เราจักได้ (อาศัย) สถานที่หลังหิน. ตั้งแต่ปฐมกัปมา
น้ำเพียงนิ้วมือหนึ่งจากน้ำที่ขังจรดคอดของขุนเขาสิเนรุ จะไม่
ยุบลงข้างล่างไม่ดันขึ้นข้างบน.
บทว่า เอกรโส แปลว่า มีรสไม่เจือปน. บทว่า มุตฺตา
ความว่า แก้วมุกดามีหลายชนิดต่างโดยชนิดเล็ก ใหญ่ กลม
และยาวเป็นต้น. บทว่า มณี ความว่า มณีหลายชนิดต่างโดยสี
มีสีแดงและสีเขียวเป็นต้น. บทว่า เวฬุริโย ความว่า แก้วไพฑูรย์
มีหลายชนิดต่างโดยสีมีสีดังสีไม้ไผ่และสีดอกซึกเป็นต้น. บทว่า
สงฺโข ความว่า สังข์มีหลายชนิดต่างโดยสังข์ทักษิณวรรต สังข์-

ท้องแดง และสังข์สำหรับเป่าเป็นต้น. บทว่า สิลา ความว่า สิลา
มีหลายอย่างต่างโดยสีมีสีขาว สีดำ และสีดังเมล็ดถั่วเขียวเป็นต้น.
บทว่า ปวาฬํ ความว่า แก้วประพาฬมีหลายอย่างต่างโดยชนิดเล็ก
ใหญ่ แดง และแดงทึบเป็นต้น. บทว่า มสารคลฺลํ ได้แก่ แก้วลาย.
บทว่า นาคา ได้แก่ นาคที่อยู่บนหลังคลื่นก็มี นาคที่อยู่วิมานก็มี.
บทว่า อฏฺฐ ปหาราท ความว่า พระศาสดาทรงสามารถตรัสธรรม
8 ประการบ้าง 16 ประการบ้าง 32 ประการบ้าง 64 ประการ
บ้าง 100 บ้าง 1,000 บ้าง แต่ทรงพระดำริว่า ปหาราทะกล่าว
8 ประการ แม้เราก็จักกล่าวให้เห็นสมกับธรรม 8 ปหาราทะ
กล่าวนั้นนั่นแหละ จึงได้ตรัสอย่างนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อนุปุพฺพสิกฺขา เป็นต้นต่อไปนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงถือเอาสิกขา 3 ด้วยอนฟุปุพพสิกขา
ทรงถือเอาธุดงค์ 13 ด้วยอนุปุพพกิริยา. ทรงถือเอาอนุปัสสนา 7
มหาวิปัสสนา 18 การจำแนกอารมณ์ 38 โพธปักขิยธรรม 37
ด้วยปทา. บทว่า อายตเกเนว อญฺญปฏิเวโธ ความว่า ชื่อว่า
ภิกษุผู้ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในศีลเป็นต้น ตั้งแต่ต้นแล้วบรรลุ
พระอรหัต เหมือนอย่างกบกระโดดไปไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงอธิบายว่า
ก็ภิกษุบำเพ็ญศีล สมาธิ และปัญญา ตามลำดับเท่านั้น จึงอาจบรรลุ
พระอรหัตได้.
บทว่า อารกาว แปลว่า ในที่ไกลนั่นแล. บทว่า น เตน
นิพฺพานธาตุยา อูนตฺตํ วา ปูรตฺตํ วา
ความว่า เพื่อพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายไม่เสด็จอุบัติขึ้น แม้ตลอดอสงไขยกัป แม้สัตว์ตนหนึ่ง

ก็ไม่อาจปรินิพพานได้ แม้ในกาลนั้นก็ไม่อาจกล่าวได้ว่า นิพพานธาตุ
ว่างเปล่า แต่ในพุทธกาล ในสมาคมหนึ่ง ๆ สัตว์ทั้งหลายยินดี
อมตธรรมนับไม่ถ้วน แม้ในกาลนั้นก็ไม่อาจกล่าวได้ว่า นิพพานธาตุ
เต็ม
จบ อรรถกถาปหาราทสูตรที่ 9

10. อุโปสถสูตร


[110] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บุพพาราม
ปราสาทของมิคารมารดา ใกล้กรุงสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นพระผู้มี-
พระภาคเจ้ามีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่งในวันอโบสถ ครั้งนั้น
เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจาก
ที่นั่ง กระทำผ้าอุตราสงฆ์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมอัญชลีไปทาง
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ได้กราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว
ภิกษุสงฆ์นั่งมานานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระกรุณา
โปรดแสดงปาติโมกข์เถิด เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนิ่งอยู่.
แม้วาระที่ 2 เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว
ท่านพระอานนท์ลุกจากที่นั่ง กระทำผ้าอุตราสงฆ์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง
ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้กราบทูลพระผู้มี-
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว มัชฌิมยาม
ผ่านไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งมานานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
พระกรุณาโปรดแสดงปาติโมกข์เถิด แม้วาระที่ 2 พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ทรงนิ่งอยู่.
แม้วาระที่ 3 เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว
แสงเงินแสงทองขึ้นแล้ว ราตรีว่างแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจาก
ที่นั่ง กระทำผ้าอุตราสงฆ์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมอัญชลีไปทาง